เมื่อลมหนาวมาเยือนก็ถึงเวลาขึ้นดอย เที่ยวป่า กางเต๊นท์ นอนนับดาว สัมผัสสายลมหนาว แต่เมื่อกลับลงดอยเข้ากรุงในช่วง 1-2 สัปดาห์ นักท่องเที่ยวควรสำรวจตัวเองว่ามีอาการหรือร่องรอยความผิดปกติใดบ้าง โดยเฉพาะผู้ที่มีไข้สูง 40-40.5 องศาเซลเซียส หนาวสั่น เพลีย ปวดศีรษะอย่างรุนแรงบริเวณขมับและหน้าผาก ปวดเมื่อยตัว ปวดกระบอกตา มีอาการไอแห้งๆ
หรือเมื่อสำรวจตามบริเวณร่มผ้า เช่น อวัยวะสืบพันธุ์ ขาหนีบ เอว ลำตัวบริเวณใต้ราวนม รักแร้และคอ พบรอยแผลคล้ายบุหรี่จี้ หรือมีสีแดงคล้ำ เป็นรอยบุ๋ม ไม่คัน ให้สันนิษฐานได้เลยว่า ถูกตัวไรอ่อนกัดและเชื้อโรคไข้รากสาดใหญ่ หรือสครับไทฟัส อาจจะกำลังฟักตัวอยู่ในตัวคุณ
นพ.นิพนธ์ โพธิ์พัฒนชัย อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ให้ข้อมูลว่า โรคไข้รากสาดใหญ่จะพบมากในช่วงฤดูฝนและต้นฤดูหนาว นอกจากอาการข้างต้นแล้ว ผู้ที่รับเชื้อยังเสี่ยงต่ออาการแทรกซ้อนอันตราย ได้แก่ การอักเสบที่ปอด สมอง ในรายที่อาการรุนแรงอาจทำให้หัวใจเต้นเร็วมาก ความดันโลหิตต่ำอาจถึงขั้นช็อก เสียชีวิตได้
ตัวไรอ่อนนี้อาศัยอยู่ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็ก เช่น หนู กระแต กระรอก เมื่อกัดคนจะปล่อยเชื้อที่เรียกว่าริกเก็ตเซีย (Rickettsia) โรคไข้รากสาดใหญ่ มีระยะฟักตัว 6-21 วัน แต่โดยทั่วไปประมาณ 10-12 วัน บริเวณที่มีตัวไรชุกชุม ได้แก่ บริเวณป่าโปร่ง ป่าละเมาะ บริเวณที่มีการปลูกป่าใหม่หรือตั้งรกรากใหม่ พื้นที่ทุ่งหญ้าชายป่า หรือบริเวณมีต้นไม้ใหญ่ที่แสงแดดส่องไม่ถึง
ขณะนี้ยังไม่มีวัคซีนป้องกันแต่มียารักษาให้หายได้ จึงขอให้นักท่องเที่ยวที่จะไปท่องเที่ยวในป่า เก็บกวาดบริเวณค่ายพักให้โล่งเตียน หลีกเลี่ยงการนั่งและนอนบนพื้นหญ้า บริเวณพุ่มไม้ ป่าละเมาะหรือหญ้าขึ้นรก ควรสวมรองเท้า ถุงเท้า ที่หุ้มปลายขากางเกงไว้ และเหน็บชายเสื้อเข้าในกางเกง ใส่เสื้อแขนยาวปิดคอ ใช้ยาทากันแมลงกัด ตามแขนขาแต่ไม่แนะนำให้ใช้ในรายที่ผิวหนัง มีรอยถลอกหรือมีแผล และไม่ควรใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 4 ปี เพราะเด็กอาจเผลอขยี้ตาหรือหยิบจับอาหารและสิ่งของใส่ปาก ทำให้รับสารเคมีเข้าสู่ร่างกายเป็นอันตรายได้
ดังนั้น หลังออกจากป่าจึงต้องอาบน้ำให้สะอาด พร้อมนำเสื้อผ้าที่สวมใส่มาซักให้สะอาดทันที เพราะตัวไรอาจติดมากับเสื้อผ้าได้
ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
|